#ลดความอ้วนด้วยการอดมื้อผลเสียจะตามมาอย่างไร
สมัยนี้เทรนด์อยากผอมเป็นอะไรที่มาแรงจริงๆ แต่เทรนที่มาผิดๆไม่แพ้กันคือเทรนด์เรื่องอดอาหารนี่แหล่ะ ซึ่งวิธีอดอาหารไม่ใช่วิธีที่ดีเลย
บางรายเพิ่งมารู้ว่ามันเป็นวิธีที่ผิด ประมาณว่าร่างกายจากที่เคยใช้พลังงานจะเปลี่ยนมาเป็นไขมันสะสมแทน เพราะสารอาหารที่ได้รับไม่เพียงพอ แล้วก็จะดึงพลังงานจากกล้ามเนื้อมาใช้ ทำให้เวลาออกกำลังกายไม่ค่อยได้ผล จะลดได้แค่ในช่วงแรกจากนั้นจะเริ่มโยโย่(Yo-Yo effect) พอเพิ่งทราบก็เลยเครียดกับผลที่ตามมา
ที่น่าตกใจก็คือ บางกลุ่มไม่สนใจเพราะน้ำหนักฉันก็ลด บางกลุ่มก็มองข้าม ทำๆไปเหอะเขาก็ทำกัน แต่อีกบางกลุ่มทำมาประมาณเดือนนึงแล้ว!!!!
แล้วต้องมากุมขมับอีกครั้งว่าต้องแก้ไขอย่างไรไม่ให้มันโยโย่ แน่นอนว่าคือตอนนี้ยังลดปกติอยู่ แต่ว่าเนื้อมันก็เริ่มเหลวๆแล้วเพราะเอากล้ามเนื้อมาใช้ มันไม่คงทนเท่าที่ควร และมันใช้ไม่ได้กับทุกคน เสี่ยงที่จะตบะแตกในภายหลังเพราะความหิวได้ง่ายกว่าคนที่หิวง่ายเสียอีกนะเออ
ในขณะเดียวกัน ปัจจัยที่ส่งผลกับการใช้พลังงานในร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน โดยขึ้นกับเพศ อายุ กิจวัตรประจำวัน ฯลฯ หากไม่แน่ใจว่าเราควรรับประทานอาหารในปริมาณเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสมกับการลดน้ำหนักโดยที่ยังมีสุขภาพแข็งแรง ทำไมไม่หันมาควบคุมแคลอรี่ในอาหารแทนที่จะอดอาหารล่ะ หากต้องการลดน้ำหนัก เราต้องให้ร่างกายมีการใช้พลังงานหรือมีการเผาผลาญพลังงานให้มากกว่าพลังงานจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไป
ดังนั้น การลดน้ำหนักหรือลดความอ้วนจึงต้องมีการควบคุมปริมาณแคลอรีจากการรับประทานอาหาร และรู้จักเลือกกินซึ่งไม่ใช่การอดอาหาร เพราะการลดน้ำหนักต้องลดที่พฤติกรรมของเรา ไม่ใช่ลดที่อาหาร เพราะการลดที่อาหารมันเป็นอะไรที่ปลายเหตุ มันไม่ได้แก้ไขตั้งแต่ต้นเหตุที่เราด้วยซ้ำ
ภัยเงียบที่มากับการอดอาหาร
1. เสี่ยงทุพโภชนาการ
– ขาดสารอาหาร 5 หมู่ เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรตวิตามิน แร่ธาตุ
และไขมัน ร่างกายทุกส่วนจะอ่อนแอลง เพราะไม่มีวัตถุดิบในการซ่อมแซม
เสริมสร้างตัวเอง
– ทุกส่วนของร่างกาย ตั้งแต่เส้นผม(Keratin : เคราติน) หัว
ผิวหน้า(Collagen : คอลลาเจน) หน้าอก ปอด หัวใจ ตับไตไส้พุง เล็บ
จุดซ่อนเร้น อ่อนแอลงทั้งหมด
***Keratin กับ Collagen เป็นสารที่สังเคราะห์มาจากโปรตีน
2. หมดแรง
– เมื่อไม่มีแรงเนื่องจากขาดพลังงานจากอาหาร เช่น จากคาร์โบไฮเดรต
ไขมันเป็นหลัก คุณจะเป็นโรคขี้เกียจทันที
จะรู้สึกไม่มีแรงเพราะร่างกายไม่มีพลังงานที่จะทำอะไร
ร่างกายจะลดระดับการเผาผลาญลงโดยอัตโนมัติ(Safe mode ผิดเวลา)
– พอเป็นหลายๆครั้งเข้าร่างกายจะชินจนระดับการเผาผลาญที่ต่ำลงนั้นกลายเป็นเรื่องปกติของร่างกายคุณ
เรียกว่าอาการขี้เกียจเป็นปกติ
3. เสี่ยงป่วยง่าย
– ไม่มีอาหารตกถึงท้องทำให้น้ำย่อยในกระเพาะย่อยผิวกระเพาะ
เนื่องจากกระเพาะอาหารมีค่า pH =1.5 (ซึ่งมีสถานะเป็นกรด)
เป็นการประชดที่คุณไม่ยอมให้อาหารกับเค้าเป็นสาเหตุให้เป็นแผลในกระเพาะอาหาร หรือ
โรคกระเพาะนั่นเอง
– จากที่ตอนแรกคุณเป็นแค่คนอยากลดความอ้วนตอนนี้คุณกลายเป็น
คนไม่สบายที่อยากลดความอ้วนซะแล้ว เนื่องจากลดผิดวิธี
4. ระบบขับถ่ายเสีย
– ไม่มีอาหารและเส้นใยอาหาร(Fiber) เคลื่อนตัวผ่านระบบทางเดินอาหาร(ลำไส้เล็ก
และลำไส้ใหญ่) ทำให้ไม่มีการบีบตัวของลำไส้ซึ่งทำให้อาหารเคลื่อนตัวผ่านระบบทางเดินอาหารได้ดี
นานๆเข้าก็จะทำให้สุขภาพระบบย่อยอาหารอ่อนแอและพลังในการขับถ่ายน้อยลง
– เสี่ยงท้องผูก เพราะไม่สามารถขับถ่ายของเสียของเก่าออกไปได้
5. ควบคุมตัวเองไม่ได้พอรู้สึกหิว
– ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลงเนื่องจากผลของอินซูลิน
เพราะไม่มีคาร์โบไฮเดรต (แป้ง น้ำตาล) หากอดอาหารบ่อยๆจะเสี่ยงการเกิด Ketoacidosis(ภาวะเลือดเป็นกรดเนื่องจากน้ำตาลคีโตนในเลือดสูง)
เนื่องจากอดอาหาร
– นอกจากทำให้อ่อนเพลียไม่มีแรงแล้วยังทำให้สมองกระตุ้นให้ร่างกายรู้สึกหิวอีกเพื่อเตือนให้คุณทานอาหารได้แล้วจะหมดแรงแล้วนะ
นั่นคือจะยิ่งรู้สึกหิวเป็นพิเศษหลังจากอดอาหาร
– จะควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้
สวาปามอย่างขาดจิตสำนึกไปหมดทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นแป้ง น้ำตาล ไขมัน ขนม คุกกี้
เค้กของหวาน ข้าวเหนียว น้ำหวาน เครื่องดื่มหวานๆต่างๆ
จากที่อ้วนแต่สุภาพกลายเป็นอ้วนแบบหมดสภาพไปโดยปริยาย
ทางแก้ไขก็คือปรับทัศนคติในเรื่องนี้เสียใหม่ เพราะเป็นผลให้ในระยะสั้น แต่ไม่คุ้มกับที่ได้รับมันกลับมาเลย เปลี่ยนการทานอาหาร เลือกทานมื้ออาหารที่ดีต่อสุขภาพ ไม่ทำให้อ้วน และงดทานของที่ทำให้อ้วนเมื่อรู้สึกหิวก็ทาน อย่าไปฝืนแต่ให้เลือกทานอาหาร หรือของว่างที่ไม่ทำให้อ้วน น้ำตาลและแป้งน้อย ไม่มีไขมัน เน้นโปรตีนทานอาหารให้เป็นเวลา เวลาทานอาหารอาจแตกต่างกันไปสำหรับแต่ละคน แต่ต้องทานให้ครบ 3 มื้อ ที่สำคัญอย่าอดแบบนี้อีกนะทุกคน 👍🏻
Write a comment: